คณะกรรมการมรรยาท สภาทนายความได้รับเรื่องร้องเรียนช่วงปลายปี 2564 จากผู้เสียหายท่านหนึ่งซึ่งถูกล่อลวงในคดีเกี่ยวกับการทรงเจ้าสื่อวิญญาณและเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยผู้เสียหายได้รับการแนะนำให้ติดต่อทนายความรายหนึ่งออกสื่อเป็นประจำ หลังจากนั้นทนายความดังกล่าวได้พาผู้เสียหายไปออกรายการโทรทัศน์ชื่อดัง และได้รับว่าจ้างให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”
อย่างไรก็ดี เมื่อทำสัญญาว่าจ้าง ทนายความกลับแก้ไขข้อความเป็น “ดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล” และต่อมาดำเนินการเพียงแค่ทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้อำนวยการศาล ทั้งที่ผู้เสียหายยืนยันมาโดยตลอดว่าประสงค์ให้ดำเนินคดีฉ้อโกง นอกจากนี้ แม้มีการบันทึกในสัญญาว่าสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นคดีฉ้อโกงได้โดยใช้ค่าจ้างดังเดิม แต่ทนายความผู้นั้นก็มิได้ดำเนินคดีฉ้อโกงให้ผู้เสียหายแต่อย่างใด
การกระทำดังกล่าวถือเป็น “การจงใจละเว้นหน้าที่ที่ควรกระทำเพื่อประโยชน์ของลูกความ หรือปิดบังข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ” อันเป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หมวด 3 ข้อ 15
ต่อมา เมื่อผู้เสียหายขอคืนเงินค่าจ้างบางส่วน เนื่องจากไม่ประสงค์จะให้ดำเนินการต่อ ทนายความกลับปฏิเสธโดยอ้างว่า หากลูกความยุติคดีจะไม่มีการคืนเงิน “ไม่ว่ากรณีใด ๆ” ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่มีมูลทางกฎหมายและเข้าลักษณะ “ฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ รวมถึงการหน่วงเหนี่ยวเงินของลูกความโดยไม่มีเหตุอันสมควร” ตามข้อบังคับมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หมวด 3 ข้อ 12 (2)
ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นทนายความแล้วแนะนำให้ดำเนินคดีฐานละเมิดอำนาจศาล ทั้งที่คดีประเภทนี้เป็นคดีผิดต่อศาลและผู้เสียหายไม่มีอำนาจยื่นฟ้องเอง ถือเป็นการประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจ หรือ ประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของวิชาชีพทนายความ” อันเป็นความผิดตามข้อบังคับมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หมวด 4 ข้อ 18
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์โดยรวม คณะกรรมการบริหารสภาทนายความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและเกียรติศักดิ์ของวิชาชีพทนายความ จึงมีมติเอกฉันท์ลงโทษ ลบชื่อทนายความผู้นี้ออกจากทะเบียนทนายความ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 52 (3) เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568


